"ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ยอดผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในไทยมีการเติบโตแบบคงที่ ซึ่งอยู่ระหว่าง 13-15 ล้านคน ดังนั้น แนวโน้มการทำตลาดในวันนี้และปีหน้าจึงต้องพัฒนากลุ่มผู้ใช้ที่มีอยู่เดิมให้ก้าวสู่การใช้งานบรอดแบนด์ จากปัจจุบันมีการใช้งานเพียง 11% ของยอดผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั้งหมด”

นายนนท์ อิงคุทานนท์ ผู้จัดการทั่วไป ไวร์-ไลน์ บรอดแบนด์ เซอร์วิส บิสิเนส บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตของทรูมีอยู่ 6.7 แสนราย ปัจจุบันแบ่ง  เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ใช้งานอินเทอร์เน็ตความ  เร็ว 3 เมกะบิต ซึ่งมีกว่า 75% ที่เหลือใช้งานที่ความเร็ว 4, 8, 12 และ 16 เมกะบิต และกลุ่มลูกค้าใหม่ที่เปลี่ยนจากการใช้งานอินเทอร์เน็ตแบบ (ไดอัลอัพสู่บรอดแบนด์ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง)

นายนนท์ มองว่า ความเร็วบรอดแบนด์ 3 เมกะบิตวันนี้เรียกได้ว่าเป็นมาตรฐานของความเร็ว บรอดแบนด์ที่ผู้บริโภคไทยใช้งาน ขณะที่ปริมาณการขยายตัวของกลุ่มผู้ใช้งานที่เริ่มนิ่ง ทำให้แนวโน้มการทำตลาดของทรูต้องหันมาอัพเกรดความเร็วในการใช้งานของลูกค้าเดิมให้สูงขึ้น เพื่อก้าวสู่การใช้งาน บรอดแบนด์ความเร็วที่สูงขึ้น ซึ่งปัจจุบันความเร็วขั้นต่ำในการใช้งานบรอดแบนด์ของญี่ปุ่นอยู่ที่ 20-30 เมกะบิต
“ทิศทางการทำตลาดบรอดแบนด์ในไทยปีหน้ายังคงเหมือนปีนี้ ที่ไม่ใช่แข่งขันด้วยการลดค่าบริการแต่จะเพิ่มความเร็วของบรอดแบนด์ให้ในอัตราค่าบริการเดิม เช่น ความเร็ว 5 เมกะบิต ราคา 599 บาท ซึ่งปีนี้ความเร็ว 3 เมกะบิต ราคา 599 บาท เป็นการทำตลาดจากฐานลูกค้าเดิมที่มี โดยดึงผู้บริโภคที่ใช้งานอินเทอร์เน็ตในที่ทำงาน และโรงเรียน ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ เข้าสู่การใช้งานที่บ้าน”

นายนนท์ กล่าวต่อว่า แม้จะเปิดให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3จีในไทย ซึ่งคาดว่าจะสร้างกระแสการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ แต่ก็ไม่ได้ผลักดันให้เกิดการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่บ้าน และผู้บริโภคในต่างจังหวัดคงไม่ซื้อโทรศัพท์มือถือ 3จีที่มีราคาหลักหมื่นเพื่อเข้าใช้งานอินเทอร์เน็ต ดังนั้นสิ่งที่จะทำให้ผู้บริโภคในต่างจังหวัดเข้าสู่การใช้งานบรอดแบนด์ได้ คือการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงไร้สาย ผ่านเทคโนโลยีไวแม็กซ์

คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เคยกล่าวไว้ว่าจะให้ใบอนุญาตในการให้บริการไวแม็กซ์ หลังเปิดประมูลคลื่นความถี่ 3จีแล้วเสร็จ

ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา ทรูใช้งบลงทุนเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตรวม 2,000 ล้านบาท สำหรับเพิ่มความสามารถของความเร็วอินเทอร์เน็ตและขยายแบนด์วิดธ และระหว่างปี ค.ศ. 2010-2011 ทรูจะลงทุนเรื่องเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งเน้นเจาะกลุ่มผู้ใช้ในต่างจังหวัดให้มากขึ้น ด้วยงบทั้งหมด 3,500 ล้านบาท ปัจจุบันทรูครอบคลุมพื้นที่การให้บริการบรอดแบนด์ ทั้งแบบมีสายและไร้สายรวม 11 จังหวัด

นายนนท์ กล่าวว่า นอกจากชิงพื้นที่ต่างจังหวัดแล้ว ทรูยังขยายกลุ่มผู้ใช้ในระดับบนที่ต้องการความเร็วในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบสูงสุด โดยร่วมกับบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดตัวบริการใหม่ อัลตร้า ไฮ-สปีด อินเทอร์เน็ต เพื่อให้บริการบรอดแบนด์ด้วยความเร็วสูงสุด 30 เมกะบิต ภายในโครงการที่อยู่อาศัยของกลุ่มบริษัท แสนสิริ ทั้งโครงการคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร และทาวน์เฮาส์ ซึ่งมีอัตราค่าบริการเดือนละ 4,000 บาท

พร้อมจัดทำเนื้อหารองรับการใช้งานบรอดแบนด์ ด้วยการทำ สตรีม เนียร์ เอชดี นำรายการทีวีที่ออกอากาศในช่องทรูวิชั่นส์มานำเสนอบนเว็บไซต์ เบื้องต้นทำแล้ว  18 ช่อง รองรับการดูทีวีผ่าน อินเทอร์เน็ต และเนื้อหานี้ยังรองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตด้วยเทคโนโลยี 3จีอีกด้วย
นายนนท์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ความท้าทายของตลาดบรอดแบนด์ปีหน้า คือการทำให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ยังไม่ได้ก้าวสู่การใช้งานบรอดแบนด์คิดเป็น 89% เข้าสู่การใช้งานบรอดแบนด์ ก่อนที่ทรูจะขยับสู่เทคโนโลยี ไฟเบอร์ ทู เดอะ โฮม ซึ่งให้ความเร็วในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตสูงสุดถึง 100 เมกะบิต.