ถอดรหัสยีนเฉพาะบุคคล รักษามะเร็งลำไส้
ผ่านการตรวจ K-RAS Mutation Test
ข้อมูลโดย โรช ไดแอกโนสติกส์ (ประเทศไทย)
โรคมะเร็งลำไส้ ถือได้ว่าเป็นภัยคุกคามชีวิตประชากรโลกที่น่ากลัวอยู่ในอันดับต้นๆ จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าผู้ป่วยเสียชีวิตจากมะเร็งชนิดนี้มากกว่า 677,000 คนต่อปี เป็นอันดับ 3 ของโรคมะเร็งทั้งหมด และในประเทศไทยพบอัตราการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยเฉลี่ยต่อปี ประมาณ 5,000 ราย โดยกลไกของการเกิดเซลล์มะเร็งนั้น จะเกิดจากการแบ่งตัวของเซลล์อย่างไร้การควบคุม จากปัจจัยกระตุ้น ที่เรียกว่า Growth factor มาจับที่ตัวรับที่ชื่อว่า Epidermal Growth Factor Receptor (EGFR) ที่ผิวของเซลล์ และเกิดการส่งสัญญาณเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่สู่นิวเคลียส ทำให้เซลล์เกิดการแบ่งตัวอย่างต่อเนื่อง เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าผู้ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่แล้ว การรักษาก็ขึ้นอยู่กับระยะของโรค ในระยะเริ่มต้นส่วนมากจะผ่าตัด เอาเนื้อร้ายออก แล้วตามด้วยการให้เคมีบำบัดหรือการฉายรังสี ซึ่งที่ผ่านมาปรากฏว่าผลการรักษาได้ผลดีบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง
เหตุที่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากการใช้ยารักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะลุกลามนั้นมีหลายแบบ ก่อนที่แพทย์จะเลือกรักษาผู้ป่วยด้วยยาสูตรใด แพทย์จะต้องประเมินผลการรักษาหรือผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้าจากพื้นฐาน ข้อมูลด้านการตรวจต่างๆ ที่อ้างอิงได้ โดยในปัจจุบันได้มีการพัฒนานวัตกรรมการรักษาเฉพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง และช่วยหยุดการเติบโตของเนื้อ ร้ายได้ (Targeted therapy) โดยยาดังกล่าวมีเป้าหมายการออกฤทธิ์ที่ Epidermal Growth Factor Receptor (EGFR) ซึ่งยาชนิดนี้ จะแย่งปัจจัยกระตุ้น Growth factor เพื่อเข้าจับกับตัวรับ EGFR ที่ผิวของเซลล์ ทำให้ปิดกั้นสัญญานไม่ให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโต ยาดังกล่าวเรียกว่า anti-EGFR monoclonal antibody therapy เช่น ยา Cetuxima และยา Panitumumab อย่างไรก็ตามจากผลการศึกษาการใช้ยา anti-EGFR monoclonal antibody therapy รักษาผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ จะได้ผลการรักษาดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของยีน K-RAS โดยพบว่าผู้ป่วยที่มียีน K-RAS ปกติ (wild type) จะมีการตอบสนองที่ดีต่อการรักษา ด้วยยาดังกล่าว
K-RAS (Kirsten Rat Sarcoma Virus Oncogene) คือ ยีนที่สร้างโปรตีน ทำหน้าที่ควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์และเป็นยีนที่มีอยู่ในทุกเซลล์ของร่างกาย ยีน K-RAS เป็นหนึ่งในวงจรปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ส่งสัญญาณ จากผิวเซลล์สู่นิวเคลียส ภายหลังจากเซลล์ถูกกระตุ้นด้วย Growth factor ในเซลล์ปกติ ยีน K-RAS ทำหน้าที่ควบคุมการเติบโตของเซลล์โดยปิดการ สร้างสัญญาณ ทำให้การแบ่งตัวของเซลล์เป็นไปอย่างจำกัด แต่หากยีน K-RAS เกิด mutation ไป จะส่งผลให้ไม่มีการหยุดสัญญาณดังกล่าวจึงเกิดการแบ่งตัวของเซลล์อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าไม่มีปัจจัยกระตุ้นจากภายนอกเซลล์แล้วก็ตาม
สำหรับการ mutation ของยีน K-RAS สามารถพบได้ทั่วไปในมะเร็งหลายชนิด รวมทั้งมะเร็ง ลำไส้ใหญ่ พบว่าประมาณ 35 – 45% ของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะลุกลาม จะมียีน K-RAS ชนิด mutation ดังนั้นทำให้ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา anti-EGFR Monoclonal antibody Therapy ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการตรวจ K-RAS เข้ามามีบทบาทสำคัญในการรักษาเฉพาะบุคคล เพื่อช่วยแพทย์ตัดสินใจว่า ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่แต่ละคน ควรรักษาด้วยยาในกลุ่ม anti-EGFR monoclonal antibody therapy หรือไม่ เพราะการใช้ยาบางชนิดเช่น Cetuximab และ Panitumumab จะไม่มีประสิทธิภาพในผู้ป่วยที่มียีน K-RAS ชนิด mutation เป็นต้น ทั้งนี้ การที่สามารถเลือกผู้ป่วยที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการรักษาด้วยยาในกลุ่ม anti-EGFR monoclonal antibody therapy นอกจากจะเป็นการลดอาการที่ไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นจากยาแล้ว ยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายการรักษามะเร็งได้อย่างมากเลยทีเดียว
การตรวจหาชนิดของยีน K-RAS ได้นำไปปฏิบัติ ตามแนวทางการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ของ NCCN (the US National Comprehensive Cancer Network) ปี 2008 อีกทั้ง ยังเป็นข้อกำหนดในยุโรป ซึ่งจะอนุญาตให้ใช้ยาในกลุ่ม anti-EGFR monoclonal antibody therapy เฉพาะในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะลุกลามที่มี ยีน K-RAS ชนิด wild type ดังนั้นแพทย์ ต้องตรวจหาชนิดของยีน K-RAS ก่อนที่จะเริ่มทำการรักษา
สำหรับวิธีการตรวจหาชนิดของยีน K-RAS มักใช้ชิ้นเนื้อที่ลำไส้ใหญ่ส่งตรวจ ซึ่งวิธีการตรวจหา K-RAS mutation test มีหลายวิธี แต่วิธีที่ได้ผลดี และมีวิธีการสะดวกมากที่สุด คือ วิธี Polymerase Chain Reaction (PCR) เป็นการตรวจที่จำเพาะต่อตำแหน่งที่มีโอกาสเกิด mutation ซึ่งปัจจุบันมีชุดน้ำยาสำเร็จรูปซึ่งใช้หลักการ Real-time PCR ที่มีความไวและความแม่นยำในการทดสอบสูงและสะดวกในการใช้งาน ได้แก่ การใช้ TheraScreen ซึ่งเป็น Test ที่ได้รับรองมาตรฐานจาก CE-Mark ในประเทศไทยมีการนำเข้ามาใช้งานโดย บริษัท โรช ไดแอกโนสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด และมีห้องปฏิบัติการที่ทดสอบอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช
จะเห็นได้ว่า การถอดรหัสยีนเฉพาะบุคคลผ่านการตรวจ K-RAS mutation test มีประโยชน์มาก สำหรับการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ เนื่องจากจะช่วยให้แพทย์ตัดสินใจเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสมที่สุด เป็นการเพิ่มโอกาสในการรับการรักษาที่เหมาะสม รวมไปถึงการประหยัดค่าใช้จ่ายอีกด้วย สำหรับผู้ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตรวจ K-RAS mutation test สามารถสอบถามได้ที่ โรงพยาบาลศิริราช โทรศัพท์ 02-4196605 หรือติดต่อ คุณกุณฑิกา ดำรงปราชญ์ โทร. 085-9116103 วันจันทร์ – ศุกร์ ในช่วงเวลาทำการ