เอสเอสยูพี กรุ๊ป เปิดตัวบริษัทใหม่ “วลัย-วิโรจน์”มุ่งดำเนินธุรกิจในรูป “โซเชี่ยล เอ็นเตอร์ไพรซ์” ภายใต้แบรนด์ “กตัญญู”จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ส่งผลกำไรกลับคืนสู่สังคม 100%
เอสเอสยูพี กรุ๊ป เปิดตัว บริษัท วลัย-วิโรจน์ เพื่อสังคม (2553) จำกัด ทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท มุ่งดำเนินธุรกิจในรูป “โซเชี่ยล เอ็นเตอร์ไพรซ์” จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ภายใต้ แบรนด์ “กตัญญู” เตรียมประเดิมรุกธุรกิจผ่านตู้แช่และน้ำดื่มกตัญญู ตั้งงบกว่า 30 ล้าน จัดโปรโมชั่นตั้งตู้แช่เย็นไม่มีค่าใช้จ่าย พ่วงเครดิตน้ำดื่ม 50 แพ็คแรก 1 ปี ภายในปี 2555 มั่นใจสามารถขยายจุดจำหน่ายกว่า 2,000 จุด ครอบคลุม 50 เขตทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล สามารถคืนกำไรสนับสนุนด้านการศึกษา 100% ในกองทุน “กตัญญูเพื่อพัฒนาการศึกษาไทย” เป็นการคืนกำไรจากรุ่นสู่รุ่นในระยะยาว
ดร.ชัยรัช หิรัญยะวะสิต ที่ปรึกษาธุรกิจของ เอสเอสยูพี กรุ๊ป เปิดเผยว่า เอสเอสยูพี กรุ๊ป ผู้ดำเนินธุรกิจด้านสุขภาพและความงามระดับชั้นนำ ภายใต้การบริหารงานของครอบครัว “ศักดิ์พรทรัพย์” ซึ่งประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับจากสังคมไทยมายาวนานกว่า 36 ปี โดยปัจจุบัน เป็นทั้งผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักกันดี อาทิ เครื่องสำอาง คิวท์เพรส, โอเรียนทอล พริ้นเซส และธุรกิจอาหารเสริม GNC จากสหรัฐอเมริกา จากความสำเร็จดังกล่าว กลุ่มบริษัท เอสเอสยูพี จึงมีนโยบายที่จะดำเนินธุรกิจในรูปแบบ โซเชี่ยล เอ็นเตอร์ไพรซ์ ด้วยสำนึกจะตอบแทนบุญคุณแผ่นดินไทยที่ให้ที่อยู่อาศัยและประกอบสัมมาชีพในการดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคง กล่าวคือ เป็นองค์กรธุรกิจที่แสวงหาผลกำไรเพื่อช่วยเหลือสังคม ทั้งนี้ ได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใหม่ ได้แก่ บริษัท วลัย-วิโรจน์ เพื่อสังคม (2553) จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายที่จะจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ภายใต้แบรนด์ “กตัญญู” และมุ่งนำผลกำไรส่งคืนกลับสู่สังคม 100% เพื่อนำไปสนับสนุนด้านการศึกษาของเยาวชนในประเทศอย่างยั่งยืน
“บริษัท วลัย-วิโรจน์ เพื่อสังคม (2553) จำกัด เป็นองค์กรธุรกิจเพื่อสังคม ที่มีเป้าหมายอย่างชัดเจน ในการนำผลกำไรไปช่วยพัฒนาสังคมในด้านการศึกษาเป็นหลัก โดยเป็นผู้จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ภายใต้แบรนด์ “กตัญญู” ซึ่งเริ่มต้นธุรกิจด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์น้ำดื่มกตัญญู เป็นสินค้าหลักในการรุกตลาด ภายใต้กลยุทธ์ “สร้างโอกาส เริ่มธุรกิจโดยไม่ต้องลงทุน สร้างโอกาสทำบุญ คืนกำไรสู่สังคม” ซึ่งมีแผนที่จะขยายจุดจำหน่ายสินค้า กตัญญู ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่มากที่สุด โดยกำหนดโมเดล ให้ชุมชนต่างๆ ในสังคม ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินธุรกิจและช่วยเหลือสังคม โดยจะเปิดหาพันธมิตร ได้แก่ ร้านค้าปลีก หน่วยงานเอกชน องค์กรภาครัฐต่างๆ ได้สมัครเข้ามาเป็นตัวแทนจำหน่าย จากนั้นจะได้รับ “ตู้แช่เย็นกตัญญู”ไปตั้งวางภายในร้าน พร้อมได้รับเครดิตน้ำดื่มกตัญญู จำนวน 50 แพ็คๆ ละ 12 ขวด เป็นเวลา 1 ปี ทั้งนี้ ตั้งเป้าที่จะขยายจุดจำหน่ายและจัดวางตู้แช่กตัญญู ให้ได้จำนวน 2,000 จุด ครอบคลุม 50 เขตทั่วกรุงเทพฯ
และปริมณฑล ภายในปี 2555 ทั้งนี้ คาดว่าต้องใช้งบประมาณกว่า 30 ล้านบาท และมีเป้าหมายที่จะขยายจุดจำหน่ายครอบคลุมทั่วประเทศให้ได้ภายในระยะเวลา 3 ปี โดยผลกำไรหลังหักค่าใช้จ่าย ส่งคืนให้กับสังคม 100% ดร.ชัยรัช กล่าวและเพิ่มเติมว่า ผู้สนใจเป็นตัวแทนจำหน่าย และร่วมเป็นพันธมิตร สามารถติดต่อได้ที่ โทรศัพท์ 02-660-8999 หรือ www.katanyu.com ทุกวันเวลาทำการ
“สาเหตุที่ กตัญญู เริ่มรุกธุรกิจด้วยการจำหน่ายน้ำดื่ม ก็เนื่องมาจาก เป็นสินค้าที่มีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน การตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคขึ้นอยู่กับคุณภาพ ความสะอาดเป็นหลัก ซึ่งน้ำดื่มแบรนด์ต่างๆ ในตลาด มีคุณภาพไม่แตกต่างกันมากนัก ในขณะที่ น้ำดื่มกตัญญู จำหน่ายในราคาขวดละ 7 บาท มีคุณภาพและราคาเท่ากับคู่แข่ง หากแต่ยังมีส่วนแบ่งกำไรคืนให้กับสังคม เบื้องต้นขวดละ 50 สตางค์ เป็นปัจจัยเสริมให้ผู้บริโภคตัดสินใจอุดหนุน จึงทำให้เชื่อมั่นว่า จะสามารถแจ้งเกิดในตลาดน้ำดื่มได้อย่างรวดเร็ว โดยในช่วง 3 ปีแรก คาดว่าจะมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 1.5% จากมูลค่าตลาดรวมปัจจุบัน 13,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ตลาดน้ำดื่ม มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 3-4% ต่อปี โดยมีแบรนด์น้ำดื่มต่างๆ ในตลาดประมาณกว่า 600 แบรนด์
ในส่วนของแบรนด์ “กตัญญู” มีเป้าหมายที่จะเติบโตเช่นองค์กรธุรกิจทั่วไป แต่มีจุดต่างตรงที่มุ่งเน้นสร้างผลกำไร บนพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยชุมชนเพื่อชุมชน ความตั้งใจในอนาคต แบรนด์ “กตัญญู” จะมีสินค้าอุปโภคบริโภค ที่รองรับความต้องการพื้นฐานของกลุ่มบุคคลทุกเพศทุกวัย สำหรับผลกำไรที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการจะแบ่งเป็น 2 ส่วน กำไรส่วนแรก บริษัทฯ จะเป็นผู้บริจาคเข้าโครงการเสริมบุญ สร้างสังคม ทันที 50 สตางค์ ต่อน้ำหนึ่งขวด
สำหรับกำไรส่วนที่ 2 คือกำไรหลังหักค่าใช้จ่าย ณ สิ้นปี จะนำเข้ากองทุน “กตัญญูเพื่อพัฒนาการศึกษาไทย” เพื่อใช้สนับสนุนโครงการพัฒนานวัตกรรมด้านการเรียนการสอน โดยในปี 2555 จะเริ่มสนับสนุนรวมทั้งสิ้น 10 โครงการๆละ 200,000 บาท รวมเป็นงบประมาณทั้งสิ้น 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นการมอบให้ก่อนล่วงหน้า ไม่ต้องรอผลกำไร ทั้งนี้ จะมีคณะกรรมการเป็นผู้พิจารณา โดยตั้งมั่นอยู่บนหลักการที่จะนำเงินทุกบาททุกสตางค์ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมด้านการศึกษาให้มากที่สุด เพื่อจักได้ร่วมกันมีส่วนสร้างสังคมแห่งปัญญา และผลักดันประเทศชาติให้พัฒนาอย่างยั่งยืน จากรุ่นสู่รุ่นในระยะยาว” ดร.ชัยรัช กล่าวสรุป