ทรูรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2553 รายได้จากบริการเพิ่มขึ้น
ผลประกอบการทรูมูฟดีต่อเนื่อง
บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 1 ปี 2553 รายได้จากบริการโดยรวมเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า ขณะที่ EBITDA และอัตราการทำกำไร ณ ระดับ EBITDA เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่ลดลงและ รายรับ IC สุทธิที่เพิ่มขึ้น โดยในไตรมาสนี้ ผลประกอบการของทรูมูฟยังคงเติบโตต่อเนื่อง ในขณะที่ โปรโมชั่นใหม่ภายใต้ยุทธศาสตร์คอนเวอร์เจนซ์ช่วยเพิ่มทั้งรายได้และยอดผู้ใช้บริการรายใหม่ให้กับบริการบรอดแบนด์ ทรูวิชั่นส์แม้มีผลการดำเนินงานอ่อนตัวลง แต่อัตราการเปลี่ยนแพ็กเกจสำหรับ ลูกค้าระดับกลางและล่างไปใช้แพ็กเกจที่มีราคาสูงกว่ายังคงเพิ่มขึ้น ทั้งรายได้จากการรับทำการโฆษณามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ในไตรมาส 1 ปี 2553 กลุ่มทรูมีรายได้จากค่าบริการโดยรวม (ไม่รวมค่าเชื่อมโยงโครงข่าย หรือ IC) เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า เป็น 13.3 พันล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลจากการเติบโตของทรูมูฟและทรูออนไลน์ นอกจากนี้ กำไรจากการดำเนินงาน ก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย หรือ EBITDA โดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.4 จากไตรมาสที่ผ่านมา เป็น 5.0 พันล้านบาท ในขณะที่อัตราการทำกำไร ณ ระดับ EBITDA (EBITDA margin) ปรับตัวดีขึ้นจากร้อยละ 31.6 เป็นร้อยละ 35.1 โดยอัตราการทำกำไรของทุกธุรกิจในกลุ่มปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ กำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติของกลุ่มทรูเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าเป็น 411 ล้านบาท (ไม่รวมภาษีเงินได้รอตัดบัญชี) ซึ่งส่วนใหญ่เนื่องจากค่าใช้จ่ายและดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง
ทั้งนี้ ในไตรมาส 1 ปี 2553 ทรูรายงานผลกำไรสุทธิจำนวนทั้งสิ้น 1.2 พันล้านบาท เปรียบเทียบกับขาดทุนสุทธิจำนวน 131 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2552 ส่วนใหญ่ป็นผลมาจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร กล่าวว่า “ในไตรมาสนี้ ทรูมูฟและทรูออนไลน์มีผลการดำเนินงานเติบโตตามเป้าหมาย ในขณะที่ทรูวิชั่นส์มีผลการดำเนินงานอ่อนตัวลง เนื่องจากได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่เอื้ออำนวย ตลอดจนการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น สำหรับการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทจะมุ่งเน้นการขยายโครงข่ายของทรูมูฟ การจำหน่ายสมาร์ทโฟนและ การพัฒนาบริการที่ไม่ใช่เสียง รวมทั้งการขยายพื้นที่และขีดความสามารถในการให้บริการบรอดแบนด์ในเขตรอบนอกของกรุงเทพมหานครและจังหวัดใหญ่ๆ ควบคู่กับการปรับแพ็กเกจที่ผสมผสานผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ในกลุ่มทรู เพื่อเพิ่มยอดผู้ใช้บริการแพ็กเกจพรีเมี่ยมของทรูวิชั่นส์ รวมทั้งส่งเสริมการขายจานดาวเทียมเพื่อเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการในระดับกลางและล่าง”
ทรูมูฟ ในไตรมาสนี้ มีผลประกอบการดีต่อเนื่อง โดยรายได้จากการให้บริการ (ไม่รวมรายได้จาก IC) เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า เป็น 6.2 พันล้านบาท เนื่องจากการฟื้นตัวต่อเนื่องของบริการโทรศัพท์ข้ามแดนระหว่างประเทศ และบริการที่ไม่ใช่เสียงซึ่งเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ในขณะที่ EBITDA เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 จากไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมา เป็น 2.0 พันล้านบาท โดยมีรายรับ IC สุทธิเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ รายได้จากการบริการแบบรายเดือนเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.4 จากไตรมาส 1 ปี 2552 โดยจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.8 เนื่องจากแพ็กเกจคอนเวอร์เจนซ์และการจำหน่ายสมาร์ทโฟน นอกจากนี้ บริการที่ไม่ใช่เสียงมีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.0 จากไตรมาส 1 ปี 2552 จากบริการโมบาย อินเทอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมต่อเนื่อง ในขณะที่ การเปิดตัวโทรศัพท์เคลื่อนที่โมโตโรล่า ไมล์สโตน บนระบบปฏิบัติการ (แพล็ตฟอร์ม) แอนดรอยด์ ทำให้ทรูมูฟเป็นผู้ให้บริการรายเดียวในประเทศไทยที่ให้บริการครบทั้ง 3 ระบบปฏิบัติการหลักของสมาร์ทโฟน ซึ่งมีส่วนช่วยสนับสนุนให้บริการที่ไม่ใช่เสียงเติบโตมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ในไตรมาส 1 ปี 2553 ทรูมูฟ มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นประมาณ 375,000 ราย ทำให้มีจำนวนผู้ใช้บริการรวมทั้งสิ้น 16.2 ล้านราย
ทรูออนไลน์ มีรายได้จากการให้บริการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอัตราร้อยละ 2.2 จากไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมา เป็น 6.7 พันล้านบาท โดยรายได้จากบริการบรอดแบนด์ และรายได้จากธุรกิจใหม่ๆ สามารถชดเชยรายได้ที่ลดลงจากบริการด้านเสียง นอกจากนี้ โปรโมชั่นใหม่ของบริการบรอดแบนด์ภายใต้ยุทธศาสตร์คอนเวอร์เจนซ์ ที่เปิดตัวในไตรมาสแรก ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ช่วยเพิ่มยอดผู้ใช้บริการรายใหม่ได้มากกว่า 27,000 ราย ทำให้มีจำนวนผู้ใช้บริการบรอดแบนด์ทั้งหมดประมาณ 718,000 ราย ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบหลาย ไตรมาสที่ผ่านมา ในขณะที่รายได้จากบริการบรอดแบนด์เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.5 จากไตรมาสเดียวกันปีที่ผ่านมา เป็น 1.5 พันล้านบาท นอกจากนั้น บริการโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศ (IDD) ยังประสบความสำเร็จใน การเพิ่มปริมาณการใช้ในกลุ่มลูกค้าทรูมูฟและลูกค้าโทรศัพท์พื้นฐานของทรู ในขณะเดียวกันการนำเสนอ โปรโมชั่นใหม่เพื่อกระตุ้นการใช้บริการโทรศัพท์พื้นฐานคาดว่าจะช่วยชะลอการลดลงของรายได้ในอนาคต
ทรูวิชั่นส์ ประสบความสำเร็จในการกระตุ้นให้สมาชิกแพ็กเกจระดับกลางและล่างเปลี่ยนมาใช้แพ็กเกจที่มีราคาสูงกว่า ทำให้อัตราการเปลี่ยนแพ็กเกจเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 39.8 อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสนี้ ยอดผู้ใช้บริการโดยรวมลดลงเป็นประมาณ 1.6 ล้านราย ซึ่งเป็นผลจากทรูวิชั่นส์ยังคงให้ความสำคัญต่อการคัดกรองสมาชิกที่มี คุณภาพ รวมทั้งตลาดมีการแข่งขันเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ในไตรมาส 1 ปี 2553 ทรูวิชั่นส์มีรายได้จากการให้บริการลดลงเล็กน้อยประมาณร้อยละ 0.9 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า เป็น 2.3 พันล้านบาท เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจและการเมืองไม่เอื้ออำนวย ทำให้มีการยกเลิกการจัดงานและกิจกรรมต่างๆ ที่จะช่วยสร้างรายได้ อาทิ การจัดคอนเสิร์ต และการยกเลิกบริการของกลุ่มผู้ใช้บริการแพ็กเกจพรีเมี่ยม อย่างไรก็ตาม รายได้จากการรับทำ การโฆษณาบนช่องรายการต่างๆ ของทรูวิชั่นส์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยในไตรมาสนี้ ทรูวิชั่นส์บันทึกรายได้จากการรับทำการโฆษณาเต็มไตรมาสเป็นครั้งแรกจำนวน 87 ล้านบาท
กลุ่มทรูยังคงมุ่งมั่นลดภาระหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยหนี้สินระยะยาวโดยรวมลดลงเป็น 67 พันล้านบาท จากจำนวน 67.5 พันล้านบาทในไตรมาสที่ผ่านมา นอกจากนั้น อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA ปรับตัวลดลงเป็น 3.1 เท่า จาก 3.7 เท่า ในไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า
นายนพปฎล เดชอุดม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน กล่าวเสริมว่า “ในปีนี้บริษัทจะให้ความสำคัญกับการรีไฟแนนซ์ภาระหนี้ โดยเชื่อว่าสภาพคล่องของตลาดเงินในประเทศจะเอื้อประโยชน์ต่อการทำรีไฟแนนซ์ของธุรกิจทรูวิชั่นส์และทรูมูฟ ซึ่งจะส่งผลให้ความน่าเชื่อถือทางการเงินของกลุ่มทรูปรับตัวดีขึ้น ในขณะ เดียวกัน หากสถานการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่ในปัจจุบันยังคงดำเนินต่อไป อาจทำให้การเพิ่มรายได้มี ความท้าทายมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ บริษัทจะยังคงมุ่งมั่นควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวด เพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไร มากขึ้น